มาเริ่มป้องกันฝ้า ก่อนที่จะสายเกินแก้กันเถอะ!

27/08/2015 0 Comment(s) บทความเกี่ยวกับฝ้า,บทความบำรุงผิวหน้า,

มาเริ่มป้องกันฝ้า ก่อนที่จะสายเกินแก้กันเถอะ!  

ฝ้า มักจะชอบขึ้นตามส่วนต่างๆของใบหน้า ทำให้เรารู้สึกเสียความมั่นใจ ไม่กล้าเผยหน้าสด จึงต้องกลบด้วยการ Makeup อยู่ตลอดเวลา ทั้งยุ่งยาก แถมยังทำให้เสียเวลา กว่าจะกลบให้เนียนกริ๊บก็ปาไปเกือบเที่ยงแล้ว! จะดีกว่าไหมถ้าเรามาลองเริ่มแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการเริ่มดูแลและป้องกันฝ้าอย่างถูกวิธีกันเถอะ!

 

 

สาเหตุของการเกิดฝ้า คือ

 

     ก่อนที่จะเริ่มรักษาฝ้า เรามาทราบถึงสาเหตุของการเกิดฝ้ากันเลย นั่นก็คือ “ฝ้า” มักเกิดจากพันธุกรรม ฮอร์โมนแปรเปลี่ยน ยิ่งอายุมากขึ้น ฝ้าก็ยิ่งถามหามากขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ฮอร์โมนก็สามารถแปรเปลี่ยนฉับพลันได้จากการทานยาคุม และการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน รวมถึงการทานยาบางชนิด เช่น ยากันชัก ยาแก้อักเสบ เป็นต้น

 

    นอกจากสาเหตุข้างต้นทำให้เกิดฝ้าได้แล้ว “แสงแดด” ก็เป็นตัวการที่สำคัญที่ทำให้เกิดฝ้าได้ทุกช่วงอายุ ไม่เว้นแม้แต่เด็ก วัยรุ่น และผู้สูงอายุ เพราะแสงแดดนั้นมีฤทธิ์เป็นตัวกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น ทำให้ฝ้าเป็นมากขึ้น คือสีเข้มขึ้น อาจเป็นเพราะแสงแดดทำปฏิกิริยากับเครื่องสำอาง เครื่องสำอางบางชนิดมีสารที่ทำให้ผิวดำเมื่อถูกแสง ได้แก่สารโซลาเรน สารดังกล่าวพบอยู่ใน น้ำหอมบางชนิด

 

 

 

ฝ้า เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงอายุใดบ้าง?

     ฝ้า มักเกิดขึ้นได้โดยไม่เว้นช่วยอายุ เพราะฝ้านั้นมักมากับปัจจัยต่างๆ เช่น กรรมพันธุ์ การตากแดดเป็นประจำ เครื่องสำอางที่ใช้ การทานยาคุม ภาวะตั้งครรภ์ และการทานยาบางชนิด

 

     ดังนั้น เราจึงจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าเด็กน้อยที่ชอบตากแดดก็เป็นฝ้า หรือ กระเล็กๆ  หรือวัยรุ่นที่นิยมแต่งหน้า ใช้เครื่องสำอางที่ไม่อ่อนโยนต่อผิว และปัญหาประจำเดือนที่ผิดปกติ ก็เกิดฝ้าได้ตามจมูก แก้ม รอยจางๆ รวมถึงวัยกลางคนที่มักทานยาคุม หรือตั้งครรภ์อยู่ และผู้สูงวัยก็เป็นฝ้าตามการเวลาได้เช่นกัน นอกจากนี้เราพบว่าเปอร์เซ็นต์การเกิดฝ้าส่วนใหญ่มักเป็นกับผู้หญิง มากกว่าผู้ชายถึง 70% เลยด้วย!!

 

 

ฝ้าแบ่งได้ 2 ชนิด

 

 

 

 

1. แบบตื้น (Superficial type)

     ลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด ขึ้นเร็ว หายเร็ว รักษาโดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆและครีมกันแดดสามารถหายได้

 

 

 

 

 

 

2. แบบลึก (Deep type)

     ลักษณะเป็นสีม่วงๆอมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ไม่หายขาด การทายาฝ้าอ่อนๆและครีมกันแดดพอทำให้ดีขึ้นได้

    

 

 

 

 

 

ป้องกันฝ้า ง่ายกว่าการรักษาฝ้า

 

     การป้องกันฝ้าไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำๆเป็นเรื่องที่ง่าย และสามารถทำได้ทุกวัย โดยเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ระวังอย่าให้ตากแดดเป็นเวลานานๆ  หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็ควรใส่เสื้อแขนยาว สวมหมวกหรือกางร่ม ตามแต่สถานการณ์ ส่วนการใช้ครีมกันควรเป็นแบบที่มีส่วนผสมทั้งสารเคมีที่กันแดดได้ ร่วมกับส่วนผสมกายภาพ คือแป้ง (physical sunscreen) เพราะจะมีคุณสมบัติช่วยสะท้อนแสงแดดออก ไปจากผิว โดยสังเกตที่ส่วนผสมซึ่งจะมีสารไททาเนียมไดออกไซด์ (titanium dioxide) และซิงก์ออกไซด์ (zinc oxide) เป็นหลัก

 

 

รักษาฝ้าด้วยยาฟอกสีผิว ดีจริงเหรอ?

 

    ในปัจจุบันนิยมใช้ตัวยาฟอกสีผิวอย่าง Hydroquinone, กรด VitaminA, กรด Acetic, กรด Kojic, BHA และ AHA ร่วมกับสารป้องกันแสงแดด สารเหล่านี้ทำให้ฝ้าจางลง แต่เมื่อใช้ไปนาน ๆ อาจมีฤทธิ์แทรกซ้อน ทำให้ผิวหน้าบอบบางเมื่อเจอแสงแดด ก็จะมีอาการหน้าแดงจัด ถ้ายิ่งโดนแดดจะกลับหน้าดำ และเกิดจุดด่างขาว แถมสิวตามมา สารเหล่านี้มักได้ผลดีชั่วคราวเมื่อหยุดฤทธิ์ยาก็จะกลับสภาพเดิม ทำให้ต้อง ลอกบ่อย ๆ ถ้าใช้ความเข้มข้นสูงทำให้ระคายเคืองมาก    

 

 

สมุนไพรรักษาฝ้า ดีที่สุด!

 

  ข้อมูลโดย : รศ.พญ.ณัฏฐา รัชตะนาวิน/หน่วยโรคผิวหนัง โรงพยาบาลรามาธิบดี

 

     “ทางการแพทย์ได้คัดกรองพืชหลายหลายสายพันธุ์ที่เป็นสารออกฤทธิ์ในการรักษาฝ้าออกมา ที่เป็นสารบริสุทธิ์ ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้าที่ดีที่สุด และน่าเชื่อถือได้มากกว่า

 

     สมุนไพรรักษาฝ้า สามารถรักษาได้จริง และควรเป็นสัดส่วนที่ไม่สูงกว่าร้อยละ 20-30 เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด แต่สารเคมีที่ทำเป็นยารักษาฝ้าแล้วประสิทธิภาพจะสูงกว่าร้อยละ 50-70 เพราะฉะนั้นจึงควรใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้ครีมรักษาฝ้าด้วยสูตรเคมี หรือสมุนไพรด้วย สมุนไพรบางอย่าง เช่น ชะเอมเทศ ใบหม่อน หรือพวกขมิ้น ส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งสารอนุมูลอิสระจะเป็นตัวกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังและกระตุ้นการสร้างเมลานิน เพราะฉะนั้นการใช้สมุนไพรกลุ่มนี้อาจจะช่วยได้ระดับหนึ่ง

 

     ส่วนใหญ่พอพูดว่าสมุนไพร คนจะคิดว่าไม่มีอันตราย แล้วคิดว่ายาคือสารเคมี ที่อันตราย จริงๆ แล้วสมุนไพรก็คือสารเคมีชนิดหนึ่งเช่นกัน และพืชเองก็ทำให้เกิดผื่นแพ้และระคายเคืองได้ สำหรับผู้ที่แพ้สมุนไพรจริงๆ

 

     การที่คนทั่วไปจะซื้อครีมรักษาฝ้ามารักษาเอง กรณีนี้ถ้าผู้ใช้พิจารณาดูแล้วว่าราคาไม่แพงมาก และไม่โฆษณาเกินจริงก็อาจจะลองใช้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องประเมินตัวเองด้วย เช่น ถ้าใช้ไป 2-3 เดือนแล้วไม่ดีขึ้นก็ควรจะหยุด และอยากแนะนำว่าให้ใช้ในรูปของยาทาจะปลอดภัยกว่ายากิน ซึ่งอาจมีผลกับตับหรือไตได้

 

     และสำหรับราคาของเครื่องสำอางไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเครื่องสำอางราคาแพงจะมีประสิทธิภาพดีกว่าเสมอไป

 

 

ข้อควรปฏิบัติ เมื่อเกิดฝ้า

1.) ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป เพราะครีมกันแดดจะทำหน้าที่คล้ายกระจกเงาที่สะท้อนแสงแดด เหมือนการตกกระทบและสะท้อนออกไปได้ดีระดับหนึ่ง และที่สำคัญควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน 15 นาที และทาซ้ำทุกๆ80นาที หรือทุกๆ 2 ชม. จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการกันแดดดียิ่งขึ้นไว้

 

2.) ใช้ครีมรักษาฝ้าจะช่วยบรรเทาให้รอยฝ้าตื้นค่อยๆจางลงได้ เมื่อทำเป็นประจำทุกวัน เช้า-เย็น เพราะครีมรักษาฝ้าจะมีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิวภายนอกที่ตายแล้ว หรือที่มีรอยดำให้ค่อยๆจางลงได้ ควรเลือกใช้ครีมรักษาฝ้าที่เป็นสูตรสมุนไพร หรือครีมรักษาฝ้าที่ได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยตรง ห้ามซื้อครีมที่มีเคมีใช้เองโดยเด็ดขาด!

 

3.) รักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ สำหรับฝ้าลึกควรหมั่นปรึกษาแพทย์เป็นประจำ เเละศึกษาวิธีการทำเลเซอร์รักษาฝ้าอย่างดี เพราะการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์นั้นจะทำให้ผิวบางลง และไวต่อแดดมากขึ้น จึงต้องหมั่นปรึกษาแพทย์ และดูแลตนเองเป็นอย่างดี หลีกเลี่ยงแสงแดด

 

4.) หลีกเลี่ยงความเครียด ลดการสูบบุหรี่ และแอลกอฮอลลงบ้าง เพราะปัจจัยเหล่านี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เมลานินก่อตัวสะสมจนเกิดเป็นรอยดำที่เรียกว่าฝ้าได้ ทางที่ดีควรหมั่นออกกำลังกายให้ได้วันละ 30 นาที และพักผ่อนให้เพียงพอก็จะทำให้อาการฝ้าค่อยๆดีขึ้นได้

 

5.) ทานอาหารบำรุงผิวอย่างผักใบเขียว และผลไม้ เพราะจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก รวมถึงควรทานโปรตีนควบคู่ไปด้วย จะมีฤทธิ์ป้องกันการอักเสบจากพิษร้อนของแดดได้ดี โดยเลือกทานปลาแซลม่อน ปลาทู เพราะเนื่องจากอุดมไปด้วย omega 3 และสารอาหารที่มีประโยชน์กับผิวหนังซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบโดยให้รับประทานวันละ 2 มื้อเป็นเวลา 3 วัน

 

 

 

     ผู้ที่เป็นฝ้าเล็กน้อยอาจใช้ครีมกันแดดอย่างเดียวก็ช่วยทำให้ฝ้าจะจางลงได้ ขณะเดียวกันก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดมีฝ้าขึ้นมาใหม่ การใช้ยาลอกฝ้าสารเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรงอาจทำให้ผิวเสียได้มาก ถ้ารักษาไม่หายอาจหันมาใช้ครีมรักษาฝ้าสูตรสมุนไพร หรือวิธีรักษาฝ้าด้วยสมุนไพรธรรมชาติ ก็ใช้ประโยชน์ได้ดีและไม่ทำลายผิวกันเถอะค่ะ :)

เขียนความคิดเห็น...